เทศกาลงานบุญประเพณีแซนโฎนตา หรือประเพณีเซ่นผีปู่ตาในเดือนสิบ หรือถ้าเรียกกันแบบเต็มๆตามชื่อเรียกของชาวไทยเขมรว่า แซนโฎนตาแคเบ็น หมายถึง การเซ่นผีปู่ตาเดือนสิบหรืองานบุญสารทเดือนสิบนั่นเอง ซึ่งชาวไทยเขมรทุกที่ทั่วระแหงไม่ว่าในไทยหรือฝั่งกัมพูชาจะต้องประกอบกิจประเพณีพิธีกรรมงานบุญนี้เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วเป็นประจำทุกปี "แซนโฎนตา”หากแปลเป็นภาษเขมรจะแปลได้ว่า แซน = เซ่นไหว้ , โฎน = ยาย (บรรพบุรุษฝ่ายหญิง) , ตา = ตา (บรรพบุรุษฝ่ายชาย)ซึ่งรวมแล้วก็คือ การเซ่นไหว้บรรพบุรุษของชาวไทยเชื้อสายเขมร เป็นประเพณีที่ชาวเขมรถือปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณ พิธีกรรมดังกล่าว เริ่มปฏิบัติขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่รากฎหลักฐาน แต่มีการกล่าวกันมาว่า ในรอบ 1 ปี คือ เริ่มตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ถึงแรม 15 ค่ำ เดือน 10 พยายมราชจะปลดปล่อยเหล่าสัตว์นรกมารับบุญกุศลจาก ลูกหลาน ญาติมิตร พี่น้องได้ 1 ครั้ง แล้วจึงกลับไปรับโทษทัณฑ์ในนรกภูมิต่อไปจนสิ้นกรรม ญาติพี่น้อง ลูกหลาน จึงถือฤกษ์ในช่วงเลานั้นทำบุญอุทิศส่วนบุญให้บรรพบุรุษและญาติที่ล่วงลับไปขึ้น งานแซนโฎนตานั้นเป็นกิจกรรมหลัก ในวันสารทเขมรโดยสารทเขมรแบ่งออกเป็นสองช่วงคือ เบ็นตู๊จ(สารทเล็ก)ในวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 10 จะเป็นเพียงการการนำข้าวของไปทำบุญที่วัดไม่มีการเซ่นผีปู่ตาที่บ้าน หลังจากนั้นวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันเบ็นธม(สารทใหญ่) อันเป็นวันที่ชาวบ้านต้องมีการแซนโฎนตาโดยก่อนจะถึงวันนี้ ชาวบ้านจะมีการตระเตรียมข้าวของต่างๆมากมายที่จำเป็นต้องใช้ในการเซ่น ไม่ว่าจะเป็น กล้วย ข้าวต้มหมัดที่ห่อจากใบตองที่ชาวเขมรเรียกว่า อันซอมเจ๊ก และที่ห่อจากใบมะพร้าวเรียกว่า อันซอมโดง ไก่ย่าง ปลาย่าง หมูย่าง เนื้อวัวย่าง ผัก ผลไม้ อาหารแห้ง หมากพลู และของที่จำเป็นต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งบรรยากาศในท้องตลาดสี่ถึงห้าวันก่อนวันแซนโฎนตาไม่ว่าจะเป็นในตัวอำเภอ หรือจังหวัดที่มีชุมชนคนไทยเขมรอาศัยอยู่อย่างเช่น ตลาดเทศบาลขุนหาญ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ หรือที่สุรินทร์ ถ้าท่านผ่านไปในชุมชนหรืออำเภอ ในช่วงดังกล่าวจะมีความจอแจเออัด เต็มไปด้วยกลุ่มคนเชื้อสายเขมรมาจับจ่ายข้าวของเตรียมงานกันอย่างหนาตา โดยเฉพาะตลาดกล้วยที่มาจากแหล่งต่างๆ ต่างขนมาเป็นนับร้อย ๆ คันรถ มาขายในที่ที่เป็นชุมชนชาวเขมรซึ่งกล้วยนับเป็นผลไม้มงคลที่จำเป็นที่สุดในการนำไปประกอบเครื่องเซ่นในพิธีดังกล่าว เช้าวันรุ่งในวันแรม 14 ค่ำ ซึ่งเป็นวันประกอบพิธี ญาติพี่น้องทุกคนในครอบครัวก็จะมาพบปะกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หัวหน้าครอบครัวจะเรียกหาลูกหลานมานั่งพร้อมกัน ล้อมเครื่องสักการะ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวต้มทั้งสองอย่างดังที่กล่าวแล้ว ปลา ไก่ เนื้อหมู วัว ย่าง ผลไม้ ผัก ขนมนมเนย อาหารแห้งต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งครอบครัวทุกครอบครัวที่แยกตัวออกมาจากพ่อแม่มามีลูกมีหลานจะต้องเตรียม กันจือเบ็น(กระเชอเบ็น) ลูกหลานหรือครอบครัวต้องนำ กันจือเบ็น(กระเชอเบ็น)ไปที่บ้านพ่อแม่ของตนหรือที่บ้านบรรพบุรุษเรียกว่า จูนกันจือเบ็น(ส่งกระเชอเบ็น) โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกหลานและบรรพบุรุษมาก ๆ จะมีความสนุกสนานอบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตากันได้พบปะพูดคุยกัน หัวหน้าครอบครัวกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยพร้อมกัน แล้วสวดชุมนุมเทวดา ให้ท่านลงมารับรู้รับทราบเป็นสีกขีพยานในการประกอบพิธี "แซนโฎนตา” จากนั้นกล่าวเชื้อเชิญดวงวิญญาณของเหล่าบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วโดยระบุชื่อและนามสกุล ที่จำชื่อไม่ได้ก็จะเรียกรวมว่า "โฎนตา” ต่อด้วยการกรวดน้ำหน้าเครื่องเซ่นไหว้ซึ่งจะทำ 2-3 ครั้ง เพราะว่าญาติแต่ละคนต่างก็เดินทางมาจากคนละทิศคนละทาง หรือคนละภพภูมิ ระยะทางใกล้ไกลไม่เท่ากัน ฉะนั้นลูกหลานจึงจะต้องเรียกเชิญอีก 2-3 ครั้ง ทิ้งช่วงระยะหนึ่งกะว่าโฎนตาอิ่มหนำสำราญทั่วหน้ากันแล้ว จึงกรวดน้ำอีกครั้ง เป็นการลาสำรับบอกให้ปู่ย่าตายาย ล้างมือล้างบาปเคี้ยวหมากสูบบุหรี่ ให้สบายอกสบายใจ พอตกถึงเวลาประมาณ 16 - 17 นาฬิกา พ่อแม่ครอบครัวแล้วจึงค่อยตามลูกหลานไปวัดเพื่อรับศีลและฟังพระเจริญพระพุทธมนต์จากนั้นลูกหลาก็จะถอยสำรับกับข้าวลงมาเลี้ยงดูตัวเอง แล้วจึงพากันไปวัด โดยไม่ลืมที่จะเชิญโฎนตาไปด้วย หัวหน้าครอบครัวนำกันจือเบ็นจากลูกหลานก็นำกันจือเบ็นไปวัดด้วย เพื่อฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ พิธีสวดบังสุกุลเย็น อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป พอตกเย็นเวลา 19 – 20 นาฬิกา จะมีพิธีแซนโฎนตาเริ่มขึ้นโดยนำข้าวของที่ลูกหลานนำมา มาเซ่นซึ่งจะมีคนเฒ่าคนแก่และลูกหลานในสายตระกูลและเพื่อนบ้านมาร่วมพิธีซึ่งแต่ละบ้านที่เป็นหัวหน้าหรือมีสายสัมพันธ์กันกลุ่มคนเฒ่าคนแก่จะเวียนพากันไปแซนโฎนตาจนครบบ้านแต่ละเครือญาติจนหมด พิธีแซนโฎนตานี้จะกระทำกันบนบ้านและต้องเรียกชื่อญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วให้มารับเครื่องเซ่นให้ครบทุกคนถ้าไม่ครบอาจเกิดการไม่พอใจแก่ผีบรรพบุรุษจะทำให้ครอบครัวไม่สบาย หมู่บ้านที่จัดประเพณีแซนโฎนตา ในระหว่างนี้ก็จะมีการละเล่น เช่น ตำบลพราน ก็มีการแสดงบนเวที สร้างความสนุกสนาน ครื้นเครง หลังจากนั้นเช้ามืดประมาณตีสี่ของวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 เจ้าบ้านต้องตื่นมาเซ่นอีกครั้ง และเตรียมอาหารคาวหวานไปถวายพระทำบุญที่วัด และนำข้าวของเหล่านี้ลงกระเชอเช่นเดียวกับกระเชอเบ็นเพื่อนำไปวัด โดยที่กระเชอเบ็นนี้จะมีการใส่บายเบ็นหรือบายตะเบิ๊ดตะโบร(ข้าวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ) ประดับในกระเชอด้วย และมีการปักประดับด้วยรวงข้าวสารที่ทำขึ้นจากนำก้านมะพร้าวมาทาด้วยข้าวต้มให้เหนียวแล้วทาบให้ข้าวสารติดนำไปประดับในกระเชอ และที่ก้นกระเชอนี้จะมีข้าวต้มและผลไม้ต่างนำมาตัดเป็นท่อนเป็นแว่นเพื่อไว้ไปเซ่นผีปูตาที่วัด พอถึงเวลาประมาณตีห้าชาวบ้านต้องยกกระเชอเหล่านี้ไปที่วัดซึ่งจะเป็นหน้าที่ของผู้ชายเพื่อไปประกอบพิธีที่เรียกว่าการแห่ บายตะเบิ๊ดตะโบร(ข้าวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ)ไปซึ่งพิธีนี้จะทำหลังพิธีสงฆ์ที่มีการอุทิศส่วนกุศลเสร็จสิ้นโดย พิธีที่เรียกว่าการแห่ บายตะเบิ๊ดตะโบร(ข้าวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ)นี้จะถูกนำไปโยนหรือวางรอบโบสถ์วิหารเจดีย์อัฐิผู้ตายส่วนข้าวต้มและผลไม้ที่ตัดเป็นท่อนๆก็จะนำไปวางที่เดียวกัน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีนี้ขากลับบ้านชาวบ้านจะต้องเหลือข้าวต้มและผลไม้ที่ตัดเป็นท่อนบางส่วนกลับไปไว้นำไปเซ่นที่นาด้วย จากนั้นแปดโมงเช้า ชาวบ้านผู้หญิงที่เตรียมอาหารคาวหวานจะนำอาหารไปถวายให้พระฉันอาหารเช้าที่วัด ถือเป็นการเสร็จสิ้น ประเพณีแซนโฎนตา – งานบุญสารทเดือนสิบของชาวไทยเขมร
จับต้องไม่ได้ : InTangible.
ศิลปะการแสดง : PA : Performing Arts .
ธีรพงศ์ สงผัด
นางจุฑามณี รุ้งแก้ว : มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ : 2566 Open Call