ความสำคัญ 1. ของขวัญทรงคุณค่าสองอย่างสุดท้ายที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้เราคือศีลมหาสนิทในฐานะที่เป็นอาหารฝ่ายจิตของเรา (วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์) และพระมารดามารีย์ในฐานะแม่ฝ่ายจิต (วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์) 2. พระวรกายของพระคริสตเจ้า (Corpus Christi ) เป็นการฉลองการประทับอยู่ของพระเจ้าในฐานะที่เป็น "องค์อิมมานูเอล " หรือ "พระเจ้าผู้สถิตกับเรา" เพื่อให้เราได้โมทนาคุณพระองค์ที่ทรงประทับอยู่กับเราในศีลมหาสนิท 3. การฉลองนี้ยังเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้ถึงความสำคัญและคุณค่าของการประทับอยู่ของพระเจ้าอย่างแท้จริงเพื่อให้เราได้รับประโยชน์ให้มากที่สุดจากศีลมหาสนิท เราเชื่อว่าพระเยซูเจ้าประทับอยู่ในศีลมหาสนิทจริงเพราะว่า 1. พระเยซูเจ้าทรงสัญญาหลังจากทรงทำอัศจรรย์เลี้ยงคน 5,000 คน 2. พระเยซูเจ้าทรงตั้งศีลมหาสนิทระหว่างการเลี้ยงอาหารค่ำครั้งสุดท้าย 3. พระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้ศิษย์กระทำซ้ำเพื่อระลึกถึงพระองค์ 4. ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า เราอธิบายเรื่องการประทับอยู่จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทโดย คำว่า "การที่แผ่นปังและเหล้าองุ่นกลับกลายเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า (transubstantiation)โดยการอวยพรพร้อมกับการกล่าวถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ (คำภาวนา) ของพระสงฆ์อัญเชิญพระจิตเจ้ามาทรงเปลี่ยนให้เนื้อแท้ (substance) ของแผ่นปังและเหล้าองุ่นกลับกลายเป็นพระกายและพระโลหิตอันรุ่งโรจน์จากการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าโดยที่รูปลักษณ์ภายนอก (accidents) เช่น สี ขนาด รสชาติ ฯลฯ ยังคงเดิม ที่มา : https://www.ratchaburidio.or.th/main/sunday-homily/2429-homily-corpus-christi-b-2024 “ขอให้ศีลมหาสนิท นำทางเราจากการไม่รู้จักความจริงมาสู่ความจริง ขอให้ศีลมหาสนิท นำเราจากความมืดไปสู่ความสว่าง ขอให้ศีลมหาสนิท นำเราจากความตายไปสู่ความเป็นอมตะ” วันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า เริ่มต้นในปี ค.ศ.1264 นี่เอง โดยสมเด็จพระสันตะปาปาอูร์บันที่ 4 ในเวลานั้น พระองค์ได้ทรงมอบหมายให้นักบุญโธมัส อากวีนัส เป็นผู้เขียนหรือแต่งบทพิธีกรรมสำหรับใช้ในวันสมโภช นักบุญโธมัส จึงผูกพันกับวันฉลองนี้มากทีเดียว บทสดุดี/บทสรรเสริญศีลมหาสนิทต่างๆ ยกให้เป็นฝีมือของท่าน เช่น บท “ตานตุม แอร์โก ซาคราแมนตุม” ที่ยังร้องกันมาอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นบทกวีที่ท่านประพันธ์ไว้ ยิ่งกว่านั้น ท่านมีความศรัทธาภักดีต่อศีลมหาสนิทมากทีเดียว คืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังภาวนาในวัดน้อยของคณะโดมินิกันที่เมืองเนเปิลส์ คนที่จัดวัดได้มองดูท่านในขณะภาวนาโดยที่ท่านไม่รู้ตัว เขาเห็นตัวท่านลอยขึ้นไปในอากาศ และได้ยินเสียงพระเยซูเจ้าตรัสกับท่านทางไม้กางเขน “โธมัส เธอได้เขียนเกี่ยวกับฉันดีเหลือเกิน เธออยากได้รางวัลอะไร” โธมัสตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการอะไรเลย นอกจากพระองค์” คำขอของท่านได้รับการตอบสนอง วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.1273 ในขณะท่านกำลังทำมิสซา ท่านได้เข้าฌานอย่างล้ำลึก หลังมิสซา โธมัสได้พูดกับเลขานุการที่ทำงานมากับท่านยาวนานว่า “พระเจ้าทรงเผยสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ฉัน จนว่าอะไรที่ฉันเคยเขียนๆ ไว้เป็นแต่เพียงแค่ฟางบางเบาเท่านั้นเอง” ต่อจากนั้นท่านก็ไม่ได้เขียนหนังสืออะไรอีกเลย สองเดือนหลังจากนั้น ท่านได้สิ้นใจเมื่ออายุ 49 ปี นี่เป็นเรื่องของนักบุญองค์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดฉลองศีลมหาสนิท ที่จริงเราทุกๆ คนก็เกี่ยวข้องกับศีลมหาสนิท ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ประชาชนในสมัยพันธสัญญาเก่าทราบดีว่า พระเจ้าทรงรักและทรงเอาใจใส่ประชากร ในขณะที่เขาเดินทางในถิ่นทุรกันดาร ยามที่เขาพบกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ก็จะพากันร้องหาพระเจ้า ยามที่เขาไม่มีอาหารจะกินและไม่มีน้ำจะดื่ม ก็จะมาร้องขอจากพระเจ้าผ่านทางโมเสส พระเจ้าทรงประทาน “มานนา” ซึ่งเป็นอาหารที่ตกมาจากฟ้า ซึ่งพวกเขาไม่รู้จักมาก่อน ให้เป็นอาหารสำหรับพวกเขา และทรงทำให้น้ำออกมาจากหินเพื่อดับกระหายพวกเขา ในยุคสมัยพันธสัญญาใหม่ พระเยซูเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็น “ปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์” ปังนี้ประเสริฐกว่ามานนาในอดีตในแบบที่เปรียบกันไม่ได้ เพราะมานนานั้นกินไปแล้ว พวกบรรพบุรุษของอิสราเอลก็ยังตาย แต่ “ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” พี่เราแต่ละคนสนิทสัมพันธ์กับศีลมหาสนิทไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะว่าชีวิตคริสตชนไม่อาจดำเนินไปได้โดยปราศจากศีลมหาสนิท ศีลมหาสนิท ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ยิ่งเรารับพระองค์บ่อยๆ ในขณะที่เราอยู่ในสถานะพระหรรษทาน เราก็ยิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์มากยิ่งขึ้น ศีลมหาสนิทจะก่อให้เกิดผลแห่งความยินดีในตัวของเรา เปรียบได้กับคนที่กินอาหารดีๆ อย่างพอเหมาะพอควร ก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงดีและมีความสุข เช่นเดียวกันกับผู้ที่หล่อเลี้ยงจิตใจด้วยการรับศีลมหาสนิทเสมอๆ ศีลมหาสนิทยังช่วยลบล้างบาปเบาต่างๆ ในตัวเรา เหมือนอาหารที่ให้พลังและมีฤทธิ์ช่วยต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเข้ามาโจมตีร่างกายของเรา ทำให้เรามีเกราะป้องกันไว้ได้ และที่สุด ศีลมหาสนิทเป็นเหมือนยาถอนพิษแห่งความตาย คือเป็นยาที่ทำให้เราเข้าสู่ชีวิตแห่งความเป็นอมตะ พระเยซูเจ้าตรัสไว้ในพระวรสารของวันนี้ว่า “เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” มีตัวอย่างที่น่าประทับใจเป็นเรื่องของพระอัครสังฆราชออสการ์ โรเมโร (Archbishop Oscar Romero) เมื่อตอนที่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระอัครสังฆราช ท่านยังคงเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ที่ไม่ทราบเรื่องการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลเอล ซาลวาดอร์ ต่อพวกชาวนายากจนที่ลุกฮือขึ้น รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการเข่นฆ่าผู้ประท้วง ในเหตุการณ์ครั้งนี้คาดว่ามีคนยากจนถูกฆ่าตายราว 10,000-40,000 คน ต่อเมื่อเพื่อนชาวคณะเยสุอิตของท่านที่ชื่อว่า Rutilio Grande ที่ได้ชื่อว่า “ประกาศกของคนยากจน” ได้ถูกฆ่าตาย ทำให้ท่านต้องลุกขึ้นมาอย่างกล้าหาญเพื่อเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง และท่านก็ตำหนิบรรดาผู้นำชาติ ซึ่งจำนวนมากก็เป็นคริสตชน หลังจากความเคลื่อนไหวนี้ ท่านได้ถูกขู่ฆ่า หนึ่งวันก่อนที่ท่านจะถูกสังหาร ท่านได้พูดว่า “ถ้าพวกเขาฆ่าฉัน ฉันจะฟื้นชีวิตขึ้นมาอยู่กับประชาชนชาวเอล ซาลวาดอร์ทั้งหลาย” วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ.1980 พระอัครสังฆราชออสการ์ โรเมโร ได้เทศน์ว่า “ศีลมหาสนิทนี้ คือกิจแห่งความเชื่อ…ขอให้พระกายและพระโลหิตที่ได้ถวายเป็นยัญบูชาเพื่อมนุษย์ทั้งมวลนี้ได้หล่อเลี้ยงพวกเราด้วย เพื่อว่าเราจะได้มอบทั้งกายและเลือดของเรา ตามแบบอย่างของพระคริสต์ เพื่อประชาชนของเรา” ไม่กี่นาทีต่อมา ขณะที่ท่านกำลังยกถ้วยกาลิกษ์ชูขึ้น ท่านก็ถูกยิงตายกลางพิธีบูชามิสซานั่นเอง (เรื่องเล่าจากหนังสือ “Sunday Seeds for daily Deeds” โดย Francis Gonsalves, S.J.) นี่คือชีวิตของพระอัครสังฆราชออสการ์ โรเมโร ที่ยอมตายเพื่อประชาชนที่ยากจนเหล่านั้น ยอมพลีชีวิตเหมือนพระคริสตเจ้า เพื่อจะมีชีวิตนิรันดร และอยู่ในใจของประชาชนตลอดไป
จับต้องได้ : Tangible.
แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม และงานเทศกาล : SP : Social Practices, ritual and festive events ขนบธรรมเนียบประเพณีเกี่ยวกับศาสนา
.
เลขที่ : ชุมชนหลังวัดโรมัน หมู่ 10 ต. จันทนิมิต อ. เมืองจันทบุรี จ. จันทบุรี 22000
นายณฐพงศ์ พ่วงภิญโญ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก : 2566 Open Call