ประตูเมือง “ประติมากรรมหนองหารหลวง” ประตูเมืองสกลนครหรือประติมากรรมหนองหารหลวง ประตูสู่เมืองสกลนครที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณทางเข้าเมืองสกลนคร ซึ่งสิ้นสุดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 22 บริเวณด้านบนของประตูเมืองประกอบไปด้วยประติมากรรมปูนปั้นรูปปราสาทผึ้ง 3 หลัง ภายในปราสาทผึ้งองค์กลางประดิษฐานพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อพระองค์แสนซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนคร ส่วนปราสาทผึ้งองค์ซ้ายประดิษฐานรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถือเป็นพระอาจารย์ใหญ่ของธรรมยุตินิกายหรือสายกรรมฐานพระป่า และปราสาทผึ้งองค์ขวาประดิษฐานรูปเหมือนพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองสกลนคร ส่วนด้านล่างสลักภาพปูนปั้นดินเผาเล่าเรื่องราวตำนานเมืองหนองหารหลวง ตำนานการกำเนิดของเมืองหนองหารหลวง ดังนั้นประตูเมืองสากลนครแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนประตูสู่ความศักดิ์สิทธิ์และศูนย์รวมใจของชาวสกลนคร หากจะกล่าวถึงการเกิดวัฒนธรรมอันเป็นรากฐานสำคัญในการตั้งเมืองสกลนคร คงต้องย้อนไปถึงตำนาน นิทานปรัมปรา อย่างตำนานพระยาสุระอุทก (ตำนานฟานด่อน) ซึ่งเป็นที่มาของต้นกำเนิดเรื่องเมืองหนองหารล่ม อันจะสามารถเชื่อมโยงไปสู่เรื่องทรัพยากรที่ถูกซ่อนไว้ในผืนดินสกลนคร ซึ่งตำนาน “ฟานด่อน” : ตำนานหนองหารหลวง จังหวัดสกลนคร ได้กล่าวไว้ว่า ขุนขอมราชบุตรเจ้าเมืองอินทปัฐนคร ได้พาครอบครัวและบ่าวไพร่มาตั้งเมืองที่ท่านางอาบ นามว่า “เมืองหนองหารหลวง” ขุนขอมมีราชบุตรชื่อสุรอุทกกุมาร ครั้นเมื่อเจ้าสุรอุทกขึ้นเป็นเจ้าเมือง นามว่า “พญาสุรอุทก” ขึ้นปกครองบ้านเมืองแทนพระบิดา วันหนึ่งพญาสุรอุทกได้ออกตรวจบ้านเมืองไปถึงปากน้ำมูลนที (ติดต่อเขตเมืองอินทปัฐนคร) ซึ่งมีธนมูลนาคเป็น ผู้ปกครอง ฝ่ายพญาสุรอุทกทรงพิโรธว่าปู่กับบิดามอบให้ธนมูลนาคปกครองบ้านเมืองนั้น ไม่สมควร ฝ่ายพญาสุรอุทกจึงแสดงฤทธิ์ข่มขู่ธนมูลนาค ฝ่ายธนมูลนาคโกรธก็ได้ทำฤทธิ์แสดงตนเป็นอัศจรรย์ต่างๆ นานา ครั้นพญาสุรอุทกยกพลกลับบ้านเมือง ฝ่ายธนมูลนาคจึงจัดกำลังติดตามพญาสุรอุทกไปจนถึงเมืองหนองหารหลวงและได้สำแดงฤทธิ์ตนให้เป็น “ฟานด่าน” (ฟานเผือก) ผ่านเมืองไปที่โพธิ์สามต้น พญาสุรอุทกจึงได้สั่งให้นายพรานทั้งหลายล้อมจับฟานด่อนมาถวาย ธนมูลนาคที่สำแดงเป็นฟานด่อนหลอกล่อนายพรานเข้าไปในป่าพอถึงหนองบัวสร้างนายพรานจึงยิงด้วยหน้าไม้ผสมยาพิษ ฟานด่อนก็ถึงแก่ความตาย จากนั้นพญานาคก็ทำฤทธิ์ให้ร่างฟานด่อน ใหญ่โตเท่าช้างสาร นายพรานพร้อมพวกพ้องและพลเมืองจึงเข้าเถือเอาเนื้อของฟานด่อนอยู่ 3 วัน 3 คืนก็ไม่หมด ฝ่ายพญาสุรอุทกได้รับประทานเนื้อฟานด่อนก็เกิดความเปรมปรีดิ์ยิ่ง ครั้นถึงเวลากลางคืนเงียบสงัดดีพญานาคกับกำลังพลที่โกรธจึงพากันขุดแผ่นดินเมืองหนองหารหลวงให้ล่มลงเป็นหนองน้ำ เมื่อพญานาคจับพญาสุรอุทกได้ก็ผูกด้วยบ่วงบาศพันธนาการ ชักลากพญาสุรอุทกเลี้ยวไปงอมาพอถึงแม่น้ำโขงพระยาสุรอุทกก็ถึงแก่มรณภัย ฝ่ายเจ้าภิงคาร เจ้าคำแดง (ราชบุตรของพญาสุรอุทก) กับญาติวงศ์ ข้าราชการและประชาชนต่างพากันว่ายน้ำออกไปอยู่ตามเกาะ ตามดอนกลางหนองหาร เจ้าภิงคารเจ้าคำแดงพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์จึงไปตรวจหาชัยภูมิที่จะตั้งบ้านสร้างเมืองใหม่ เห็นว่าภูน้ำลอดเชิงชุมเป็นชัยภูมิดี และเป็นที่ประชุมรอยพระพุทธบาทด้วย เจ้าภิงคารจึงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าพาครอบครัวมาตั้งบ้านสร้างเมืองขึ้นที่ภูน้ำลอดนี้เพื่อปฏิบัติรอยพระบาทด้วย ขอให้เทพยดาผู้มีฤทธิ์ จงช่วยอภิบาลบำรุงให้บ้านเมืองวัฒนาถาวรต่อไป” ขณะนั้นสุวรรณนาคเป็นผู้รักษารอยพระพุทธบาท จึงได้อภิเษกให้เจ้าภิงคารเป็นเจ้าเมืองหนองหารหลวง พระนามว่า “พญาสุวรรณภิงคาร” ซึ่งหนทางที่ธนมูลนาคชักลากพญาสุรอุทกลงไปหาแม่น้ำโขงก็กลายเป็นคลองน้ำไหลจากหนองหารไปถึงแม่น้ำโขง ซึ่งเรียกว่าคลองน้ำกรรม หรือที่ชาวสกลนครเรียกกันว่า “ลำน้ำก่ำ” นอกจากนี้ชาวสกลนครยังเปรียบว่าเกลือที่ได้จากโดมเกลือชั้นใต้ดินทั่วสกลนครนั้นเหมือนกับเนื้อฟานด่อน (ฟานเผือก) ถ้าหากว่าคนนำเกลือจากใต้ดินขึ้นมากินมาใช้มากเกินไปแผ่นดินจะถล่มทลายลงเหมือนกับเมืองหนองหารล่มดังเช่นตำนานฟานด่อนนี้เอง
จับต้องได้ : Tangible.
สถาปัตยกรรม : AR : ARchitecture สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
.
เลขที่ : ธาตุเชิงชุม ต. ธาตุเชิงชุม อ. เมืองสกลนคร จ. สกลนคร 47000
-
-
tanawadee : มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร : 2566 Open Call